ผมเอาหนังสือเรียนที่ต้องใช้เปิดไป-เปิดมาทุกวันไปเข้าสันห่วงเพื่อความสะดวกสบายในการพลิกอ่านที่ร้านโดมทอง ตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมทักทายคุณน้าเจ้าของร้านและยื่นหนังสือเล่มหนาปึกให้ น้าขมวดคิ้วบอกว่าวันนี้อาจจะยังไม่ได้นะเพราะใบมีดตัดสันมันไม่คมแต่น้าจะลองให้ก่อน

ร้านโดมทองเป็นร้านถ่ายเอกสารที่นักศึกษาหลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาที่อาคารเรียน SC จะพอเห็นผ่าน ๆ กันบ้าง ที่นี่มีบริการเกี่ยวกับกระดาษทุกรูปแบบ ทั้งถ่ายเอกสารหรือเข้าสันห่วง แน่นอนว่าการเป็นเจ้าของร้านถ่ายเอกสารในมหาวิทยาลัยที่ถูกตีตราว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเข้มข้นก็คงพอจะทราบถึงประเด็นในการเมืองไทยที่มีการใช้อาณาบริเวณของอาคารเรียนเคลื่อนไหวบ้าง

ระหว่างรอ ผมถาม “พรพนา สุทธิเตชากิจ” เจ้าของร้านถ่ายเอกสารวัย 46 ปี ที่ผ่านการเมืองมาหลายยุคหลายสมัยว่าทำงานอยู่ที่นี่ได้ติดตามการเมืองบ้างหรือไม่  “ไม่เลย ไม่เลยอ่ะ น้าว่ามันน่าเบื่อนะ” พรพนาตอบ “น้าว่ามันเหมือนเดิม เหมือนเดิมมานานแล้วตั้งแต่รุ่นพ่อ โกงกินแบบเดิม ๆ” คำตอบของพรพนายิ่งทำให้ผมสงสัยว่าอะไรที่ทำให้เธอคิดเช่นนี้

พรพนาเล่าว่าในตลอด 46 ปีที่ผ่านมารู้สึกท้อแท้เบื่อหน่ายกับการเมืองไทยมาโดยตลอดโดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้ “ต้องบอกว่าเขามาเป็นกันทั้งพรรค คอรัปชันเยอะ เมื่อก่อนมันไม่ได้มีสื่อโซเชียลเหมือนในสมัยนี้ แล้วยิ่งมาเจอครม.ชุดใหม่ ชุดญาติพี่น้องนี่นะ จบ” ผมถามซ้ำว่าหมายความว่าไม่ได้เฉพาะรัฐบาลชุดนี้ แต่หมายถึงพรรคนี้ใช่ไหม “รัฐบาลที่เป็นพรรคเพื่อไทยนะ สำหรับน้า น้าว่าไม่เวิร์ค แต่ถามว่ารัฐบาลพรรคที่แล้วกู้มาแต่เราเห็น เราเห็นอะไรหลายๆอย่าง เราขับรถ เราเห็นถนน เราเห็นพื้นที่”

รัฐบาลชุดที่แล้วคือรัฐบาลชุดเดียวกับคณะที่ยึดอำนาจรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนะ “ตอนแรกเราเข้าใจนะว่าเขามาจากรัฐบาลที่มาจากการที่รัฐประหาร แต่ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่ารัฐประหารเพราะอะไร เขาเผาบ้านเผาเมืองกันหมดแล้ว ตั้งแต่น้าอยู่มาเกือบ 50 ปี รัฐประหารรุ่นนี้ปิดประตูตีแมวละมุนละม่อมมาก” แปลว่าไม่เหมือนกับรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมาหรือ “ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาเหมือนสมัย พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่เอารถถังมา รุ่นนี้มันปฏิวัติละมุนละม่อม แต่ก็อย่างว่าแหละ เรียกร้องประชาธิปไตยโดยการเอาประชาธิปไตยมาอ้างเพื่อประชาชนแต่เรากลับไปดูว่าอะไรที่กลับคืนประชาชนบ้าง แต่น้าเห็น บ้านป้าน้าอยู่ริมคลองเปรมประชากร เป็นสลัม ใช้คำว่าสลัม ตั้งแต่น้าเด็ก ๆ  40  ปี เพิ่งจะเห็นว่ามีการพัฒนาก็ตอนรัฐบาลชุดที่แล้ว”

ผมถามว่าอะไรที่ทำให้พรพนารู้สึกท้อที่สุดเกี่ยวกับพรรคที่เป็นรัฐบาลอยู่ตอนนี้ “ท้อตรงที่ว่าคนบางคนไม่รู้เหลี่ยม เขาเอาเศษเงินมาล่อเรา เหมือนกองทุนหมู่บ้าน (นโยบายพรรคเพื่อไทยในพ.ศ. 2544 ภายใต้การนำของทักษิณ ชินวัตร) เขาสอนให้เราเป็นหนี้แต่เขาไม่ได้สอนให้เราหาเงินด้วยตัวเอง ถามว่าเงินหนึ่งหมื่นบาทเนี่ย ได้มาอยู่ได้ยาวไหม ก็ได้แค่ไม่กี่เดือน สมัยกองทุนหมู่บ้านนะชาวบ้านดีใจได้เงิน รู้ไหมเขาเอาไปทำอะไรกัน ซื้อมอเตอร์ไซค์ ดาวน์มือถือ เอาไปกินเหล้าแต่ทุกคนยังมีหนี้ต้องจ่ายทุกปี”

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคเพื่อไทยได้คะแนนมากกว่าพรรคที่เป็นรัฐบาลชุดที่แล้วนะ “ทุกคนเลือกเพราะทุกคนเห็นว่ามันจะดีเหมือนที่เขาเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้มองว่าที่ผ่านมานอกจากครั้งแรกก็ไม่มีครั้งไหนมีผลงานดีเลย” “น้าก็ยังเคยวิเคราะห์กันเลยว่าไม่เกิน 10 ปีค่าแรง 300 เขาย้ายฐานหนีกันหมด เพราะด้วยข้างนอกเขา 100 กว่า อันนี้ 300 ถ้าน้าเป็นนายจ้าง น้าเป็นเจ้าของกิจการมันสะเทือน คุณไม่ได้จ่าย แต่เราจ่าย แล้วยิ่งถ่ายเอกสารนี่ จบ”

ผมถามพรพนาเป็นคำถามสุดท้ายก่อนต้องผิดหวังเพราะว่าใบมีดตัดสันหนังสือไม่คมพอ ว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไหม “มันเป็นอะไรที่ทุกคนอยากเห็นอยู่แล้ว น้าเห็นบางคนเห็นผลงานรัฐบาลที่แล้วแต่ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับในสิ่งที่คนทำดีเพื่อเราแต่มองไม่เห็น แต่กลับไปเชื่อสื่อโซเชียล สื่อที่เข้าถึงง่าย และก็ให้เห็นเฉพาะด้านเดียว แต่คุณไม่มองกลับมาว่าเขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง น้ามองแค่นี้”

สิ่งที่น่าสนใจคือมุมมองของพรพนาที่บอกว่าเธอเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีจากรัฐบาลชุดที่แล้ว (รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร) แม้รัฐบาลนั้นจะมีที่มาจากการทำรัฐประหาร แต่เธอก็ยังมองเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่าคนทั่วไปอาจไม่ได้มองการเมืองจากมิติเดียว แต่มองจากผลงานที่เป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวัน

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *